โควิด-19 ยังคงอยู่กับเราตลอดไปเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ เปิดอาการโควิดล่าสุด และข้อปฏิบัติหากสงสัยว่าป่วย และ มาตรการการกักตัวและการรักษาตัวที่บ้าน ?
โควิด-19 แน่นอนว่า หลายคนรู้จักและคุ้นเคยดี เพราะสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่รุนแรงมากๆได้หายไปพักใหญ่ แต่ล่าสดปี 2568 ด้วยปัจจัยหลังเทศกาลสงกรานต์ และ หน้าฝน ทำให้โควิด 19 กลับระบาดเพิ่มอีกครั้ง ซึ่งข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 มีจำนวนผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ ประมาณ 74,600 รายสียชีวิตเพิ่ม 6 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 22 ราย ซึ่งถึงแม้อาการจะไม่รุนแรง แต่อย่างที่เห็นว่ายังมีผู้ป่วยและเสียชีวิตอยู่ วันนี้ พีพีทีวีออนไลน์ จะอัปเดตข้อมูลและทำอย่างไรหากต้องติดโควิดในยุค 2568 นี้
จากข้อมูลกรมควบคุมโรคพบว่าสถานการณ์ โควิด-19 ในไทยขณะนี้เป็น สายพันธุ์ โอมิครอน XEC ซึ่ง สายพันธุ์ลูกผสมตัวใหม่ในตระกูลโอมิครอน พบครั้งแรกที่เยอรมนี มิ.ย. 2567 เกิดจากการรวมกันของ 2 สายพันธุ์ย่อย: KS.1.1 (FLiRT) และ KP.3.3 (FLuQE) แพร่เร็วขึ้นจากการกลายพันธุ์หลายจุด พบแล้วในอย่างน้อย 15 ประเทศ รวมถึงยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย มีการถอดรหัสพันธุกรรมแล้วกว่า 550 ตัวอย่างจาก 27 ประเทศ
จากข้อมูลในสหรัฐฯ อังกฤษ และจีนXEC แพร่เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84–110%บางประเทศมี XEC มากถึง 10–20% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่
อาการของ XEC
- ไข้ ไอ เจ็บคอ
- เหนื่อยง่าย ปวดหัว ปวดตัว
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- สูญเสียการรับกลิ่น/รส
- เบื่ออาหาร ท้องเสีย อาเจียน
ซึ่งผู้ที่ได้รับวัคซีนครบหรือเคยติดเชื้อมาก่อน มักมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลย แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือภาวะหายใจล้มเหลว
ข้อปฏิบัติหากสงสัยป่วยโควิด
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า กรณีเกิดการเจ็บป่วย หรือ สงสัยว่าเป็นโควิด-19 ควรปฏิบัติ
- หากมีอาการสงสัย หรือ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ให้ตรวจหาเชื้อด้วย ATK ทันที
- หากผลการตรวจเป็นบวก ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว หากจำเป็นต้องออกจากที่พัก ขอให้เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
- กรณีที่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ โดยที่อาการไม่รุนแรง แต่ไม่สามารถตรวจ ATK ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ หากจำเป็น จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
- กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการ
- งดหรือหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง 608 หากไม่สามารถหลีกเลี่ยง จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
หากมีเชื้อโควิดในร่างกายไม่มาก การตรวจโควิดด้วย ATK อาจไม่พบเชื้อ ดังนั้น ถ้ามีอาการไม่สบาย เช่น เจ็บคอมาก มีไข้ต่ำ ๆ ควรหมั่นตรวจ ATK เรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4-5 หลังจากเริ่มมีอาการ หากอาการป่วยรุนแรงขึ้นก็ควรไปพบแพทย์และเข้ากระบวนการรักษาอย่างเหมาะสม
จะหายป่วยโควิดเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องจำนวนเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรค
ซึ่งการกักตัวอย่างน้อย 5 วันตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สามารถลดโอกาสแพร่เชื้อได้ หรือถ้าเป็นไปได้ควรกักตัวสัก 7-10 วัน จนกว่าจะไม่มีอาการป่วย และตรวจ ATK แล้วเป็นลบ จึงกลับออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ข้อมูลจากประกาศของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเหมือนผู้ป่วยนอกทั่วไป โดยผู้ป่วยควรกักตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 วัน เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังผู้อื่น และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
สำหรับวิธีรักษาโควิดที่บ้านตามแนวทางปัจจุบันยังคงเป็นการรักษาตามอาการที่ปรากฏ เช่น รับประทานยาพาราเซตามอลเมื่อมีไข้ ใช้ยาแก้ไอเมื่อมีอาการไอ เป็นต้น ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ยกเว้นว่ามีอาการทรุดหนักลง หายใจลำบาก เช่นนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์
- สวมหน้ากาก เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือมีคนหนาแน่น
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยไม่จำเป็น
- เว้นระยะห่างทางสังคม ในที่สาธารณะ
- ตรวจ ATK หากมีอาการเข้าข่าย
- พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ