เอกสารประชาสัมพันธ์ 📄 📗 ✏️ 📋 🖇️
- ✅แนวทางการปฏิบัติการให้บริการปฐมภูมิ (CPG) เครือข่ายสุขภาพอำเภอรามัน
- 📗e-Book คู่มือการป้องกันการติดเชื้อใน รพ.สต. เครือข่ายสุขภาพ อ.รามัน
- 📢 ประชาสัมธ์การอบรมออนไลน์ “การออกแบบงานวิจัยเชิงสาธารณสุข” วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2567 (ผ่านโปรแกรมZoom)
- 📢 แจ้งผลการตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร ของศูนย์เรียนรู้บ้านตาโละ ต.ยะต๊ะ
- 📢 แผนงานความมั่นคงปลอดภัยทางการเงิน (Money Safety MOPH+)
- 📢 ข้อบังคับ สธ. ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทน จนท. ฯ 2566
- 📢 รายการบริการ P&P Fee schedule ปี 2566 ที่คาดว่ายังใช้ต่อปี 2567
- 📢 รายการ PP Fee Schedule 67 สําหรับ รพ.สต. (ข้อมูลวันที่ 11/11/66)
- 📢 เอกสาร ชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบฯ 67 สปสช.เขต 12 สงขลา วันที่ 27-28 พ.ย. 66
public relations
24 มิ.ย. 2568
รู้จัก...โรคไข้หวัดใหญ่
16 พ.ค. 2568
5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา
5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
ใน 5 ปีที่ผ่านมา
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า มีโรคร้ายแรงบางชนิดที่ยังคงคร่าชีวิตผู้คนในระดับสูงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเสื่อมของร่างกายตามอายุ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วงปี 2020–2024 พร้อมแนวทางป้องกันเพื่อให้คุณและคนที่คุณรักห่างไกลจากความเสี่ยง
อันดับที่ 1:
โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases)
สถิติ:
-
คิดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตประมาณ 17.9 ล้านรายต่อปีทั่วโลก
-
เป็นกลุ่มโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดต่อเนื่องหลายปี
สาเหตุหลัก:
-
ความดันโลหิตสูง
-
คอเลสเตอรอลสูง
-
พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เช่น อาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง
-
ขาดการออกกำลังกาย
-
สูบบุหรี่
วิธีป้องกัน:
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี
-
หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ อาหารแปรรูป และโซเดียมสูง
-
ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
-
งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์
-
ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะระดับไขมันและความดัน
อันดับที่ 2:
โรคมะเร็ง (Cancer)
สถิติ:
-
คร่าชีวิตกว่า 10 ล้านคนต่อปี
-
มะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่
สาเหตุหลัก:
-
การสัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์
-
พฤติกรรมการกิน เช่น เนื้อแดง อาหารปิ้งย่าง
-
พันธุกรรม
-
การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV, HBV
วิธีป้องกัน:
-
ตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งตามช่วงอายุ (เช่น มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้ใหญ่)
-
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
-
รับประทานผักผลไม้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-
ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV และไวรัสตับอักเสบบี
อันดับที่ 3:
โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic Respiratory Diseases)
สถิติ:
-
มีผู้เสียชีวิตกว่า 3.5 ล้านรายต่อปี
-
โรคที่พบบ่อย เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
สาเหตุหลัก:
-
การสูบบุหรี่ (สาเหตุหลักของ COPD)
-
มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5
-
การทำงานในสภาพแวดล้อมมีสารเคมี/ฝุ่น
-
พันธุกรรมหรือโรคประจำตัวแต่กำเนิด
วิธีป้องกัน:
-
งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
-
ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นเมื่อต้องออกนอกบ้านในวันที่คุณภาพอากาศแย่
-
รักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อรา
-
ตรวจปอดตามแพทย์นัดหากมีอาการหายใจลำบากเรื้อรัง
-
รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และป้องกันปอดบวมตามคำแนะนำของแพทย์
อันดับที่ 4:
เบาหวาน (Diabetes Mellitus)
สถิติ:
-
เสียชีวิตราว 1.5 ล้านรายต่อปีโดยตรง และอาจเกี่ยวข้องกับอีกหลายล้านรายทางอ้อม
-
ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ
สาเหตุหลัก:
-
พฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็มมากเกินไป
-
ขาดการออกกำลังกาย
-
น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
-
พันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้น
วิธีป้องกัน:
-
เลือกรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ
-
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
-
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดประจำปี
-
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชาเย็น ชานม
อันดับที่ 5:
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (เช่น COVID-19, ปอดบวม)
สถิติ:
-
เฉพาะ COVID-19 มีผู้เสียชีวิตกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกตั้งแต่ปี 2020
-
ปอดบวมยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
สาเหตุหลัก:
-
ไวรัส SARS-CoV-2 (COVID-19)
-
แบคทีเรียและไวรัสที่ก่อให้เกิดปอดอักเสบ
-
การติดเชื้อซ้ำซ้อนในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว
วิธีป้องกัน:
-
รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 และไข้หวัดใหญ่ตามคำแนะนำของแพทย์
-
รักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากในที่แออัด
-
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีอาการไอจาม
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลภูมิคุ้มกันของร่างกาย
โรคที่คร่าชีวิตมากที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และ สภาพแวดล้อม เป็นสำคัญ การปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับหลักสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารให้สมดุล ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แข็งแรงยั่งยืน
หากคุณเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ อนาคตคุณจะขอบคุณตัวเองในวันที่ยังมีสุขภาพดีอยู่เสมอ
ป่วยโควิด-19 ในปี 2568 ต้องทำอย่างไรบ้าง ? อาการและข้อปฏิบัติต้องรู้
โควิด-19 ยังคงอยู่กับเราตลอดไปเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ เปิดอาการโควิดล่าสุด และข้อปฏิบัติหากสงสัยว่าป่วย และ มาตรการการกักตัวและการรักษาตัวที่บ้าน ?
โควิด-19 แน่นอนว่า หลายคนรู้จักและคุ้นเคยดี เพราะสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่รุนแรงมากๆได้หายไปพักใหญ่ แต่ล่าสดปี 2568 ด้วยปัจจัยหลังเทศกาลสงกรานต์ และ หน้าฝน ทำให้โควิด 19 กลับระบาดเพิ่มอีกครั้ง ซึ่งข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 มีจำนวนผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ ประมาณ 74,600 รายสียชีวิตเพิ่ม 6 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 22 ราย ซึ่งถึงแม้อาการจะไม่รุนแรง แต่อย่างที่เห็นว่ายังมีผู้ป่วยและเสียชีวิตอยู่ วันนี้ พีพีทีวีออนไลน์ จะอัปเดตข้อมูลและทำอย่างไรหากต้องติดโควิดในยุค 2568 นี้
จากข้อมูลกรมควบคุมโรคพบว่าสถานการณ์ โควิด-19 ในไทยขณะนี้เป็น สายพันธุ์ โอมิครอน XEC ซึ่ง สายพันธุ์ลูกผสมตัวใหม่ในตระกูลโอมิครอน พบครั้งแรกที่เยอรมนี มิ.ย. 2567 เกิดจากการรวมกันของ 2 สายพันธุ์ย่อย: KS.1.1 (FLiRT) และ KP.3.3 (FLuQE) แพร่เร็วขึ้นจากการกลายพันธุ์หลายจุด พบแล้วในอย่างน้อย 15 ประเทศ รวมถึงยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย มีการถอดรหัสพันธุกรรมแล้วกว่า 550 ตัวอย่างจาก 27 ประเทศ
จากข้อมูลในสหรัฐฯ อังกฤษ และจีนXEC แพร่เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84–110%บางประเทศมี XEC มากถึง 10–20% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่
อาการของ XEC
- ไข้ ไอ เจ็บคอ
- เหนื่อยง่าย ปวดหัว ปวดตัว
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- สูญเสียการรับกลิ่น/รส
- เบื่ออาหาร ท้องเสีย อาเจียน
ซึ่งผู้ที่ได้รับวัคซีนครบหรือเคยติดเชื้อมาก่อน มักมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลย แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือภาวะหายใจล้มเหลว
ข้อปฏิบัติหากสงสัยป่วยโควิด
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า กรณีเกิดการเจ็บป่วย หรือ สงสัยว่าเป็นโควิด-19 ควรปฏิบัติ
- หากมีอาการสงสัย หรือ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ให้ตรวจหาเชื้อด้วย ATK ทันที
- หากผลการตรวจเป็นบวก ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว หากจำเป็นต้องออกจากที่พัก ขอให้เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
- กรณีที่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ โดยที่อาการไม่รุนแรง แต่ไม่สามารถตรวจ ATK ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ หากจำเป็น จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
- กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการ
- งดหรือหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง 608 หากไม่สามารถหลีกเลี่ยง จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
หากมีเชื้อโควิดในร่างกายไม่มาก การตรวจโควิดด้วย ATK อาจไม่พบเชื้อ ดังนั้น ถ้ามีอาการไม่สบาย เช่น เจ็บคอมาก มีไข้ต่ำ ๆ ควรหมั่นตรวจ ATK เรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4-5 หลังจากเริ่มมีอาการ หากอาการป่วยรุนแรงขึ้นก็ควรไปพบแพทย์และเข้ากระบวนการรักษาอย่างเหมาะสม
จะหายป่วยโควิดเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องจำนวนเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรค
ซึ่งการกักตัวอย่างน้อย 5 วันตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สามารถลดโอกาสแพร่เชื้อได้ หรือถ้าเป็นไปได้ควรกักตัวสัก 7-10 วัน จนกว่าจะไม่มีอาการป่วย และตรวจ ATK แล้วเป็นลบ จึงกลับออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ข้อมูลจากประกาศของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเหมือนผู้ป่วยนอกทั่วไป โดยผู้ป่วยควรกักตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 วัน เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังผู้อื่น และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
สำหรับวิธีรักษาโควิดที่บ้านตามแนวทางปัจจุบันยังคงเป็นการรักษาตามอาการที่ปรากฏ เช่น รับประทานยาพาราเซตามอลเมื่อมีไข้ ใช้ยาแก้ไอเมื่อมีอาการไอ เป็นต้น ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ยกเว้นว่ามีอาการทรุดหนักลง หายใจลำบาก เช่นนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์
- สวมหน้ากาก เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือมีคนหนาแน่น
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยไม่จำเป็น
- เว้นระยะห่างทางสังคม ในที่สาธารณะ
- ตรวจ ATK หากมีอาการเข้าข่าย
- พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
7 พ.ค. 2568
คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก
คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก
วัคซีนถือเป็นเกราะป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับเด็กในช่วงวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและปฐมวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงดีพอ การฉีดวัคซีนตามกำหนดช่วยลดความรุนแรงของโรคหรือป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม หลังการรับวัคซีน เด็กอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยหรือรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถดูแลได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่บ้าน
บทความนี้จึงรวบรวมคำแนะนำการดูแลเด็กหลังได้รับวัคซีน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเตรียมตัวและดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีและสบายใจมากยิ่งขึ้น
1. เฝ้าสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน
หลังฉีดวัคซีน ควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก โดยเฉพาะภายใน 30 นาทีแรก หลังการฉีด เนื่องจากเป็นช่วงที่อาจเกิดอาการแพ้รุนแรง (anaphylaxis) ได้ ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง
อาการที่ควรสังเกต ได้แก่:
-
ไข้ต่ำถึงปานกลาง
-
ร้องกวนหรือหงุดหงิดผิดปกติ
-
บวม แดง เจ็บบริเวณที่ฉีด
-
ง่วงซึมหรืออ่อนเพลีย
-
เบื่ออาหารหรือไม่ยอมดูดนม
มีไข้สูงเกิน 39°C ที่ไม่ลดลงภายใน 24 ชั่วโมง
-
หายใจลำบาก หรือมีเสียงหายใจแปลก ๆ
-
ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว
-
อาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง
-
ซึมหรือไม่ตอบสนอง
2. การดูแลทั่วไปหลังการฉีดวัคซีน
การดูแลอย่างเหมาะสมช่วยให้เด็กฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงจากอาการไม่พึงประสงค์
ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมากในช่วง 1–2 วันแรก
-
ให้ดื่มน้ำหรือนมบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
-
หากมีไข้ ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น และอาจใช้ยาลดไข้ (เช่น พาราเซตามอล) ตามคำแนะนำของแพทย์
-
หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดแรงบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้เจ็บมากขึ้น
-
ถ้าเด็กยังคงร้องโยเยมากหรือมีไข้ติดต่อกันเกิน 48 ชั่วโมง ควรพากลับไปพบแพทย์
3. การจัดการอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด
อาการบวม แดง หรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดวัคซีนถือเป็นปฏิกิริยาทั่วไปของร่างกายต่อวัคซีน
ไม่ควรนวดหรือประคบร้อนบริเวณที่ฉีด
-
หากมีอาการบวมมาก อาจประคบเย็นเบา ๆ บริเวณที่ฉีดวันละ 2–3 ครั้ง ครั้งละ 5–10 นาที
-
ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่หลวม สบาย ไม่รัดแน่นตรงตำแหน่งที่ฉีด
4. การให้ยาแก้ไข้
หากเด็กมีไข้หลังฉีดวัคซีน สามารถให้ยาแก้ไข้ได้ตามน้ำหนักตัวของเด็ก โดยต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ ห้ามใช้ยาลดไข้ในกลุ่มแอสไพรินในเด็กเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายได้
แนวทางการให้ยาพาราเซตามอลในเด็ก:
-
ใช้ยาน้ำเชื่อมหรือยาหยดพาราเซตามอลตามอายุและน้ำหนักตัว
-
ป้อนยาทุก 4–6 ชั่วโมงหากมีไข้
-
ห้ามให้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์
5. การนัดรับวัคซีนครั้งถัดไป
หลังฉีดวัคซีนเสร็จ ผู้ปกครองควร:
-
ตรวจสอบสมุดบันทึกวัคซีน ว่าวัคซีนเข็มต่อไปคือเมื่อใด และต้องฉีดชนิดใด
-
จดบันทึกหรือตั้งเตือนในปฏิทินมือถือ เพื่อไม่ลืมการฉีดวัคซีนครั้งถัดไป
-
ปรึกษาแพทย์ทันทีหากเด็กมีอาการผิดปกติหลังฉีดวัคซีนก่อนนัดหมายครั้งต่อไป
การฉีดวัคซีนเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กและป้องกันโรคร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลบุตรหลานหลังฉีดวัคซีนอย่างถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย และเติบโตอย่างสมวัย
การดูแลเอาใจใส่ด้วยความเข้าใจแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการฉีดวัคซีน จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับทั้งเด็กและครอบครัว พร้อมรับมือกับขั้นตอนต่อ ๆ ไปของการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัย
8 ม.ค. 2568
อันตรายจาก บุหรี่ไฟฟ้า
บุหรี่ไฟฟ้า (ELECTRIC CIGARETTE)
บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน หลังจากที่มีการประกาศห้ามการนำเข้าและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจากทางรัฐบาล มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมายทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็หยิบยกข้อมูลบางด้านมาสนับสนุนความเห็นของตนเอง ทำให้สังคมและประชาชนทั่วไปเกิดความสับสนเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้ว่าควรจะเชื่อหรือปฏิบัติอย่างไร ขอรวบรวมข้อสงสัยต่าง ๆ และสรุปข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือมาเพื่อที่จะมาตอบคำถามเหล่านี้ โดยหวังว่าจะสร้างความกระจ่างให้แก่สังคมได้มากขึ้น
บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร?
บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเคมีต่าง ๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คือ แบตเตอรี่ ตัวทำให้เกิดไอและความร้อน (Atomizer) และน้ำยา ถ้ากล่าวถึงเฉพาะส่วนของน้ำยาที่จะถูกทำให้เป็นไอและเข้าสู่ร่างกายของผู้สูบจะประกอบด้วยสารประกอบหลัก ๆ คือ
- นิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่พบได้ในทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ปกติทั่วไป เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่
- โพรไพลีนไกลคอล เป็นส่วนประกอบในสารสำหรับการทำให้เกิดไอ
- กลีเซอรีน เป็นสารเพิ่มความชื้นที่จะผสมผสานกับสารโพรไพลีนไกลคอล องค์การอาหารและยา (FDA) ยืนยันถึงความปลอดภัยว่าใช้ได้ทั้งในอาหารและยา แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบหรือสูดแล้วเกิดผลกระทบอย่างไรต่อร่างกาย เช่นเดียวกันกับโพรไพลีนไกลคอล
- สารแต่งกลิ่นและรส เป็นสารเคมีที่ใช้กับอาหารทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีความปลอดภัยเมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกาย แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบหรือสูดแล้วเกิดผลกระทบอย่างไรต่อร่างกาย
บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายหรือไม่?
สารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่พบในน้ำยาสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น
นิโคติน
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ มะเร็งช่องปาก หลอดอาหาร และตับอ่อน นอกจากนี้นิโคตินยังกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งสารนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุของการเป็นโรคเบาหวาน นิโคตินกระตุ้นให้จำนวนเซลล์ผนังหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง สำหรับหญิงตั้งครรภ์นิโคตินส่งผลต่อการพัฒนาของสมองทารกในครรภ์ การได้รับสารนิโคตินในระดับที่สูง (60 mg. ในผู้ใหญ่ และ 6 mg ในเด็กเล็ก) เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
โพรไพลีนไกลคอล และสาร Glycerol/Glycerin
เมื่อสัมผัสหรือสูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ดวงตา และปอดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง
นอกจากนี้ยังพบสารประกอบอีกมากมายในไอของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีข้อมูลว่าเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่ม Formaldehyde และกลุ่ม Benzene เป็นต้น จากการวิจัยยังพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคหัวใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในเซลล์ปอด หัวใจ และกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
เทียบกับบุหรี่ธรรมดาแล้วบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าหรือน้อยกว่า?
เป็นความจริงที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีกลไกการทำงานที่ไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ธรรมดา ทำให้ผู้สูบลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่เป็นอันตรายจากการเผาไหม้บางตัวเช่นน้ำมันดินหรือทาร์ (Tar) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
แต่จากที่กล่าวมาข้างต้นสารประกอบอื่น ๆ ที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีบางงานวิจัยที่ระบุว่า ไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าบุหรี่ธรรมดา ทำให้สามารถถูกสูดเข้าไปในปอดส่วนลึกได้มากกว่า อนุภาคที่เล็กนี้จะจับเข้ากับเนื้อเยื่อปอดและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและยากที่กลไกธรรมชาติของร่างกายจะขับออกมาได้
มีภาษิตฝรั่งบทหนึ่งกล่าวว่า “ผีที่รู้จักก็ยังดีกว่าผีที่ไม่รู้จัก” เรารู้จักบุหรี่ธรรมดากันมานานมากแล้ว มีการวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับอันตรายของมันอย่างแทบจะทุกแง่ทุกมุมแล้ว จึงทำให้เราตระหนักในโทษภัย และเฝ้าระวังมันได้อย่างดี แต่ด้วยความที่บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นของใหม่มาก เรายังไม่มีข้อมูลวิจัยที่มากพอที่จะระบุถึงอันตรายของสารเคมีแต่ละตัวในบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ใช้ไปนาน ๆ ในระยะยาว ๆ ซึ่งการที่ยังไม่มีข้อมูลว่าอันตรายไม่ใช่แปลว่าไม่มีอันตราย เพียงแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องยังต้องมีหน้าที่ที่จะต้องติดตามศึกษากันต่อไป
บุหรี่ไฟฟ้าเสพติดหรือไม่?
แน่นอนว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคติน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด ดังนั้นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจึงทำให้ผู้สูบ “ติด” ได้ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา นอกจากนี้รูปแบบและขั้นตอนในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็มีความใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ธรรมดามาก ทำให้ผู้สูบยังคงติดในพฤติกรรมการสูบเหมือนบุหรี่ธรรมดา
หากสังเกตในต่างประเทศจะพบว่า โฆษณาของบุหรี่ไฟฟ้ามีลักษณะการใช้ข้อความจูงใจหรือจุดขายไม่ต่างไปจากบุหรี่ธรรมดา เช่น การเพิ่มเสน่ห์ในทางเพศ ทำให้อารมณ์ดี ซึ่งส่งผลในทางจิตวิทยาให้ผู้สูบมีความเชื่อ ฝังใจในคุณสมบัติเหล่านั้นและดำรงพฤติกรรมการสูบมาเรื่อย ๆ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือโฆษณาของบุหรี่ไฟฟ้ายังเน้นถึงข้อดีบางอย่างที่เหนือกว่าบุหรี่ เช่น การมีรสชาติที่หลากหลายกว่า ดีต่อสุขภาพมากกว่า มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและหลากหลายกว่า ไม่มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าจุดขายเหล่านี้ย่อมดึงดูดและทำให้ผู้สูบมีแนวโน้มที่จะติดกับการสูบได้มากขึ้นด้วย
ถ้าอยากเลิกบุหรี่ธรรมดา การหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยได้หรือไม่?
จุดขายอย่างหนึ่งของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า คือ การพยายามนำเสนอว่า การหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ธรรมดา ซึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่า โดยหยิบยกงานวิจัยต่าง ๆ ที่ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่า และทำให้ผู้สูบลดการสูบบุหรี่ธรรมดาลงได้ ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้ภายหลังได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการในวงกว้างแล้วพบว่า เป็นงานวิจัยที่ไม่ได้ทำตามระเบียบวิธีการวิจัยอย่างถูกต้อง มีอคติ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ทำการวิจัยที่ชัดเจน จึงไม่ได้รับการยอมรับในทางวิชาการอีกต่อไป
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากกว่าที่ทำอย่างถูกต้อง และให้ผลสรุปในทางตรงกันข้าม คือ การสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยลดการสูบบุหรี่ธรรมดาลงเลย ร้ายไปกว่านั้นยังทำให้อัตราการสูบบุหรี่โดยรวมทั้งธรรมดาและไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นไปอีก โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่มีนิโคตินเหมือน ๆ กัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยาวชน การที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่สูบบุหรี่ (ไม่ว่าจะเริ่มจากชนิดไหน) ท้ายที่สุดก็จะมีการแลกเปลี่ยน ทดลองกันภายในกลุ่มจนคุ้นเคยกับทุก ๆ รูปแบบ เพราะเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศห้ามอย่างเป็นทางการมิให้บริษัทบุหรี่โฆษณาว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ธรรมดาได้ เพราะขัดกับข้อมูลจากการวิจัยอย่างชัดเจน
บุหรี่ไฟฟ้าผิดตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร?
ขณะนี้บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสินค้าต้องห้าม บุคคลที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง ถือว่ามีความความผิดทั้งผู้นำเข้า ผู้ขาย และผู้ใช้ เมื่อเจ้าหน้าที่พบเห็นความผิดซึ่งหน้าสามารถเข้าจับกุมได้ กรณีเป็นผู้นำเข้ามีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของสินค้าที่นำเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีจำหน่ายจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีผู้สูบหรือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ถือว่ามีความผิดในฐานครอบครองสิ่งที่นำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ , สสส.