public relations

24 มิ.ย. 2568

รู้จัก...โรคไข้หวัดใหญ่

📋 รู้จัก...โรคไข้หวัดใหญ่ 🦠
🔹 โรคระบาดประจำถิ่นที่มีมานาน พบได้ทุกกลุ่มอายุ แต่จะพบมากในเด็ก 👧 อัตราป่วยตายมักพบในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว 👵🧓🫁
📋 โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus) มี 3 ชนิด คือ Influenza A, B และ C
การติดต่อ:
- ผ่านการหายใจ: รับละอองฝอยจากน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย
- มือสัมผัส: สัมผัสกับละอองฝอยที่มีเชื้อแล้วนำมาสัมผัสที่จมูกหรือตา
คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่:
ปิด 😷: ปิดปาก จมูก เมื่อไอ จาม ทุกครั้ง ด้วยผ้า หรือทิชชู หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย
ล้าง 🧼: ล้างมือก่อนกินอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์
เลี่ยง 🙅‍♀️: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด คลุกคลีกับผู้ป่วย หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด
หยุด 🛌: หยุดเมื่อป่วย หยุดงาน หยุดเรียน แม้มีอาการไม่มาก ควรพักรักษาตัวอยู่บ้าน จนกว่าจะหายดี
ฉีด 💉: ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เพียงพอ
จัดทำ ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2568
ที่มา: สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์, กรมควบคุมโรค
❤️ด้วยความปรารถนาดีจาก สคร.3 นครสวรรค์❤️
❤️ตรวจจับเร็ว ตอบโต้ได้ทัน ป้องกันได้! ✅

__________________________







16 พ.ค. 2568

5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา

5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
ใน 5 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า มีโรคร้ายแรงบางชนิดที่ยังคงคร่าชีวิตผู้คนในระดับสูงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเสื่อมของร่างกายตามอายุ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วงปี 2020–2024 พร้อมแนวทางป้องกันเพื่อให้คุณและคนที่คุณรักห่างไกลจากความเสี่ยง



อันดับที่ 1:
โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases)

สถิติ:

  • คิดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตประมาณ 17.9 ล้านรายต่อปีทั่วโลก

  • เป็นกลุ่มโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดต่อเนื่องหลายปี

สาเหตุหลัก:

  • ความดันโลหิตสูง

  • คอเลสเตอรอลสูง

  • พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เช่น อาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง

  • ขาดการออกกำลังกาย

  • สูบบุหรี่

วิธีป้องกัน:

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี

  • หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ อาหารแปรรูป และโซเดียมสูง

  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

  • งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์

  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะระดับไขมันและความดัน


อันดับที่ 2:
โรคมะเร็ง (Cancer)

สถิติ:

  • คร่าชีวิตกว่า 10 ล้านคนต่อปี

  • มะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่

สาเหตุหลัก:

  • การสัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์

  • พฤติกรรมการกิน เช่น เนื้อแดง อาหารปิ้งย่าง

  • พันธุกรรม

  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV, HBV

วิธีป้องกัน:

  • ตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งตามช่วงอายุ (เช่น มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้ใหญ่)

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

  • รับประทานผักผลไม้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV และไวรัสตับอักเสบบี


อันดับที่ 3:
โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic Respiratory Diseases)

สถิติ:

  • มีผู้เสียชีวิตกว่า 3.5 ล้านรายต่อปี

  • โรคที่พบบ่อย เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

สาเหตุหลัก:

  • การสูบบุหรี่ (สาเหตุหลักของ COPD)

  • มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5

  • การทำงานในสภาพแวดล้อมมีสารเคมี/ฝุ่น

  • พันธุกรรมหรือโรคประจำตัวแต่กำเนิด

วิธีป้องกัน:

  • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง

  • ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นเมื่อต้องออกนอกบ้านในวันที่คุณภาพอากาศแย่

  • รักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อรา

  • ตรวจปอดตามแพทย์นัดหากมีอาการหายใจลำบากเรื้อรัง

  • รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และป้องกันปอดบวมตามคำแนะนำของแพทย์


อันดับที่ 4:
เบาหวาน (Diabetes Mellitus)

สถิติ:

  • เสียชีวิตราว 1.5 ล้านรายต่อปีโดยตรง และอาจเกี่ยวข้องกับอีกหลายล้านรายทางอ้อม

  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ

สาเหตุหลัก:

  • พฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็มมากเกินไป

  • ขาดการออกกำลังกาย

  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

  • พันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้น

วิธีป้องกัน:

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดประจำปี

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชาเย็น ชานม


อันดับที่ 5:
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (เช่น COVID-19, ปอดบวม)

สถิติ:

  • เฉพาะ COVID-19 มีผู้เสียชีวิตกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกตั้งแต่ปี 2020

  • ปอดบวมยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

สาเหตุหลัก:

  • ไวรัส SARS-CoV-2 (COVID-19)

  • แบคทีเรียและไวรัสที่ก่อให้เกิดปอดอักเสบ

  • การติดเชื้อซ้ำซ้อนในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว

วิธีป้องกัน:

  • รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 และไข้หวัดใหญ่ตามคำแนะนำของแพทย์

  • รักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากในที่แออัด

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีอาการไอจาม

  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลภูมิคุ้มกันของร่างกาย

โรคที่คร่าชีวิตมากที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และ สภาพแวดล้อม เป็นสำคัญ การปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับหลักสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารให้สมดุล ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แข็งแรงยั่งยืน


หากคุณเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ อนาคตคุณจะขอบคุณตัวเองในวันที่ยังมีสุขภาพดีอยู่เสมอ



ป่วยโควิด-19 ในปี 2568 ต้องทำอย่างไรบ้าง ? อาการและข้อปฏิบัติต้องรู้

 โควิด-19 ยังคงอยู่กับเราตลอดไปเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ เปิดอาการโควิดล่าสุด และข้อปฏิบัติหากสงสัยว่าป่วย และ มาตรการการกักตัวและการรักษาตัวที่บ้าน ?

โควิด-19 แน่นอนว่า หลายคนรู้จักและคุ้นเคยดี เพราะสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่รุนแรงมากๆได้หายไปพักใหญ่ แต่ล่าสดปี 2568 ด้วยปัจจัยหลังเทศกาลสงกรานต์ และ หน้าฝน ทำให้โควิด 19 กลับระบาดเพิ่มอีกครั้ง ซึ่งข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 มีจำนวนผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ ประมาณ 74,600 รายสียชีวิตเพิ่ม 6 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 22 ราย ซึ่งถึงแม้อาการจะไม่รุนแรง แต่อย่างที่เห็นว่ายังมีผู้ป่วยและเสียชีวิตอยู่ วันนี้ พีพีทีวีออนไลน์ จะอัปเดตข้อมูลและทำอย่างไรหากต้องติดโควิดในยุค 2568 นี้


จากข้อมูลกรมควบคุมโรคพบว่าสถานการณ์ โควิด-19 ในไทยขณะนี้เป็น สายพันธุ์ โอมิครอน XEC ซึ่ง สายพันธุ์ลูกผสมตัวใหม่ในตระกูลโอมิครอน พบครั้งแรกที่เยอรมนี มิ.ย. 2567 เกิดจากการรวมกันของ 2 สายพันธุ์ย่อย: KS.1.1 (FLiRT) และ KP.3.3 (FLuQE) แพร่เร็วขึ้นจากการกลายพันธุ์หลายจุด พบแล้วในอย่างน้อย 15 ประเทศ รวมถึงยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย มีการถอดรหัสพันธุกรรมแล้วกว่า 550 ตัวอย่างจาก 27 ประเทศ

จากข้อมูลในสหรัฐฯ อังกฤษ และจีนXEC แพร่เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84–110%บางประเทศมี XEC มากถึง 10–20% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่

อาการของ XEC

  • ไข้ ไอ เจ็บคอ
  • เหนื่อยง่าย ปวดหัว ปวดตัว
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • สูญเสียการรับกลิ่น/รส
  • เบื่ออาหาร ท้องเสีย อาเจียน

ซึ่งผู้ที่ได้รับวัคซีนครบหรือเคยติดเชื้อมาก่อน มักมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลย แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือภาวะหายใจล้มเหลว 


ข้อปฏิบัติหากสงสัยป่วยโควิด

กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า กรณีเกิดการเจ็บป่วย หรือ สงสัยว่าเป็นโควิด-19 ควรปฏิบัติ

  • หากมีอาการสงสัย หรือ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ให้ตรวจหาเชื้อด้วย ATK ทันที
  • หากผลการตรวจเป็นบวก ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว หากจำเป็นต้องออกจากที่พัก ขอให้เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
  • กรณีที่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ โดยที่อาการไม่รุนแรง แต่ไม่สามารถตรวจ ATK ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ หากจำเป็น จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
  • กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการ
  • งดหรือหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง 608 หากไม่สามารถหลีกเลี่ยง จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

ควรตรวจ ATK เมื่อไร?
หากมีเชื้อโควิดในร่างกายไม่มาก การตรวจโควิดด้วย ATK อาจไม่พบเชื้อ ดังนั้น ถ้ามีอาการไม่สบาย เช่น เจ็บคอมาก มีไข้ต่ำ ๆ ควรหมั่นตรวจ ATK เรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4-5 หลังจากเริ่มมีอาการ หากอาการป่วยรุนแรงขึ้นก็ควรไปพบแพทย์และเข้ากระบวนการรักษาอย่างเหมาะสม

โควิด 2568 กี่วันหาย
จะหายป่วยโควิดเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องจำนวนเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรค


ซึ่งการกักตัวอย่างน้อย 5 วันตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สามารถลดโอกาสแพร่เชื้อได้ หรือถ้าเป็นไปได้ควรกักตัวสัก 7-10 วัน จนกว่าจะไม่มีอาการป่วย และตรวจ ATK แล้วเป็นลบ จึงกลับออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ 

ขณะที่ในบางคนอาจหลงเหลืออาการอยู่เล็กน้อย เช่น หายโควิดแต่ยังไอ นั่นเป็นเพียงการอักเสบของอวัยวะที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นในภายหลัง


วิธีรักษาโควิดที่บ้าน
ข้อมูลจากประกาศของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเหมือนผู้ป่วยนอกทั่วไป โดยผู้ป่วยควรกักตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 วัน เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังผู้อื่น และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง

สำหรับวิธีรักษาโควิดที่บ้านตามแนวทางปัจจุบันยังคงเป็นการรักษาตามอาการที่ปรากฏ เช่น รับประทานยาพาราเซตามอลเมื่อมีไข้ ใช้ยาแก้ไอเมื่อมีอาการไอ เป็นต้น ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ยกเว้นว่ามีอาการทรุดหนักลง หายใจลำบาก เช่นนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์

การป้องกันโควิดในปัจจุบัน
  • สวมหน้ากาก เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือมีคนหนาแน่น
  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยไม่จำเป็น
  • เว้นระยะห่างทางสังคม ในที่สาธารณะ
  • ตรวจ ATK หากมีอาการเข้าข่าย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ




ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค และ ศูนย์ข้อมูล COVID-19 และ pptvhd36.com

7 พ.ค. 2568

คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก


คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก

วัคซีนถือเป็นเกราะป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับเด็กในช่วงวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและปฐมวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงดีพอ การฉีดวัคซีนตามกำหนดช่วยลดความรุนแรงของโรคหรือป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม หลังการรับวัคซีน เด็กอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยหรือรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถดูแลได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่บ้าน

บทความนี้จึงรวบรวมคำแนะนำการดูแลเด็กหลังได้รับวัคซีน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเตรียมตัวและดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีและสบายใจมากยิ่งขึ้น




1. เฝ้าสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน

หลังฉีดวัคซีน ควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก โดยเฉพาะภายใน 30 นาทีแรก หลังการฉีด เนื่องจากเป็นช่วงที่อาจเกิดอาการแพ้รุนแรง (anaphylaxis) ได้ ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง

อาการที่ควรสังเกต ได้แก่:

  • ไข้ต่ำถึงปานกลาง

  • ร้องกวนหรือหงุดหงิดผิดปกติ

  • บวม แดง เจ็บบริเวณที่ฉีด

  • ง่วงซึมหรืออ่อนเพลีย

  • เบื่ออาหารหรือไม่ยอมดูดนม

  •  มีไข้สูงเกิน 39°C ที่ไม่ลดลงภายใน 24 ชั่วโมง

  • หายใจลำบาก หรือมีเสียงหายใจแปลก ๆ

  • ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว

  • อาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง

  • ซึมหรือไม่ตอบสนอง


2. การดูแลทั่วไปหลังการฉีดวัคซีน

การดูแลอย่างเหมาะสมช่วยให้เด็กฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงจากอาการไม่พึงประสงค์

  • ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมากในช่วง 1–2 วันแรก

  • ให้ดื่มน้ำหรือนมบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

  • หากมีไข้ ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น และอาจใช้ยาลดไข้ (เช่น พาราเซตามอล) ตามคำแนะนำของแพทย์

  • หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดแรงบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้เจ็บมากขึ้น

  • ถ้าเด็กยังคงร้องโยเยมากหรือมีไข้ติดต่อกันเกิน 48 ชั่วโมง ควรพากลับไปพบแพทย์


3. การจัดการอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด

อาการบวม แดง หรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดวัคซีนถือเป็นปฏิกิริยาทั่วไปของร่างกายต่อวัคซีน

  • ไม่ควรนวดหรือประคบร้อนบริเวณที่ฉีด

  • หากมีอาการบวมมาก อาจประคบเย็นเบา ๆ บริเวณที่ฉีดวันละ 2–3 ครั้ง ครั้งละ 5–10 นาที

  • ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่หลวม สบาย ไม่รัดแน่นตรงตำแหน่งที่ฉีด


4. การให้ยาแก้ไข้

หากเด็กมีไข้หลังฉีดวัคซีน สามารถให้ยาแก้ไข้ได้ตามน้ำหนักตัวของเด็ก โดยต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ ห้ามใช้ยาลดไข้ในกลุ่มแอสไพรินในเด็กเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายได้

แนวทางการให้ยาพาราเซตามอลในเด็ก:

  • ใช้ยาน้ำเชื่อมหรือยาหยดพาราเซตามอลตามอายุและน้ำหนักตัว

  • ป้อนยาทุก 4–6 ชั่วโมงหากมีไข้

  • ห้ามให้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์


5. การนัดรับวัคซีนครั้งถัดไป

หลังฉีดวัคซีนเสร็จ ผู้ปกครองควร:

  • ตรวจสอบสมุดบันทึกวัคซีน ว่าวัคซีนเข็มต่อไปคือเมื่อใด และต้องฉีดชนิดใด

  • จดบันทึกหรือตั้งเตือนในปฏิทินมือถือ เพื่อไม่ลืมการฉีดวัคซีนครั้งถัดไป

  • ปรึกษาแพทย์ทันทีหากเด็กมีอาการผิดปกติหลังฉีดวัคซีนก่อนนัดหมายครั้งต่อไป


การฉีดวัคซีนเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กและป้องกันโรคร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลบุตรหลานหลังฉีดวัคซีนอย่างถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย และเติบโตอย่างสมวัย

การดูแลเอาใจใส่ด้วยความเข้าใจแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการฉีดวัคซีน จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับทั้งเด็กและครอบครัว พร้อมรับมือกับขั้นตอนต่อ ๆ ไปของการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัย

8 ม.ค. 2568

อันตรายจาก บุหรี่ไฟฟ้า

 บุหรี่ไฟฟ้า (ELECTRIC CIGARETTE)


บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน หลังจากที่มีการประกาศห้ามการนำเข้าและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจากทางรัฐบาล มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมายทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็หยิบยกข้อมูลบางด้านมาสนับสนุนความเห็นของตนเอง ทำให้สังคมและประชาชนทั่วไปเกิดความสับสนเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้ว่าควรจะเชื่อหรือปฏิบัติอย่างไร ขอรวบรวมข้อสงสัยต่าง ๆ และสรุปข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือมาเพื่อที่จะมาตอบคำถามเหล่านี้ โดยหวังว่าจะสร้างความกระจ่างให้แก่สังคมได้มากขึ้น


บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร?

บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเคมีต่าง ๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คือ แบตเตอรี่  ตัวทำให้เกิดไอและความร้อน (Atomizer) และน้ำยา ถ้ากล่าวถึงเฉพาะส่วนของน้ำยาที่จะถูกทำให้เป็นไอและเข้าสู่ร่างกายของผู้สูบจะประกอบด้วยสารประกอบหลัก ๆ คือ  


  • นิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่พบได้ในทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ปกติทั่วไป เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่
  • โพรไพลีนไกลคอล เป็นส่วนประกอบในสารสำหรับการทำให้เกิดไอ
  • กลีเซอรีน เป็นสารเพิ่มความชื้นที่จะผสมผสานกับสารโพรไพลีนไกลคอล  องค์การอาหารและยา (FDA) ยืนยันถึงความปลอดภัยว่าใช้ได้ทั้งในอาหารและยา แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบหรือสูดแล้วเกิดผลกระทบอย่างไรต่อร่างกาย เช่นเดียวกันกับโพรไพลีนไกลคอล
  • สารแต่งกลิ่นและรส เป็นสารเคมีที่ใช้กับอาหารทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีความปลอดภัยเมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกาย แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นไอที่สูบหรือสูดแล้วเกิดผลกระทบอย่างไรต่อร่างกาย


บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายหรือไม่?

สารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่พบในน้ำยาสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น


นิโคติน 

เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ มะเร็งช่องปาก หลอดอาหาร และตับอ่อน นอกจากนี้นิโคตินยังกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งสารนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุของการเป็นโรคเบาหวาน  นิโคตินกระตุ้นให้จำนวนเซลล์ผนังหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง สำหรับหญิงตั้งครรภ์นิโคตินส่งผลต่อการพัฒนาของสมองทารกในครรภ์ การได้รับสารนิโคตินในระดับที่สูง (60 mg. ในผู้ใหญ่ และ 6 mg ในเด็กเล็ก) เสี่ยงต่อการเสียชีวิต

 

โพรไพลีนไกลคอล และสาร Glycerol/Glycerin 

เมื่อสัมผัสหรือสูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง ดวงตา และปอดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง

นอกจากนี้ยังพบสารประกอบอีกมากมายในไอของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีข้อมูลว่าเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่ม Formaldehyde และกลุ่ม Benzene เป็นต้น จากการวิจัยยังพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคหัวใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในเซลล์ปอด หัวใจ และกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง


เทียบกับบุหรี่ธรรมดาแล้วบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าหรือน้อยกว่า?

เป็นความจริงที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีกลไกการทำงานที่ไม่มีกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ธรรมดา ทำให้ผู้สูบลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่เป็นอันตรายจากการเผาไหม้บางตัวเช่นน้ำมันดินหรือทาร์ (Tar) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

แต่จากที่กล่าวมาข้างต้นสารประกอบอื่น ๆ ที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีบางงานวิจัยที่ระบุว่า ไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าบุหรี่ธรรมดา ทำให้สามารถถูกสูดเข้าไปในปอดส่วนลึกได้มากกว่า อนุภาคที่เล็กนี้จะจับเข้ากับเนื้อเยื่อปอดและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและยากที่กลไกธรรมชาติของร่างกายจะขับออกมาได้

มีภาษิตฝรั่งบทหนึ่งกล่าวว่า “ผีที่รู้จักก็ยังดีกว่าผีที่ไม่รู้จัก” เรารู้จักบุหรี่ธรรมดากันมานานมากแล้ว มีการวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับอันตรายของมันอย่างแทบจะทุกแง่ทุกมุมแล้ว จึงทำให้เราตระหนักในโทษภัย และเฝ้าระวังมันได้อย่างดี แต่ด้วยความที่บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นของใหม่มาก เรายังไม่มีข้อมูลวิจัยที่มากพอที่จะระบุถึงอันตรายของสารเคมีแต่ละตัวในบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ใช้ไปนาน ๆ ในระยะยาว ๆ ซึ่งการที่ยังไม่มีข้อมูลว่าอันตรายไม่ใช่แปลว่าไม่มีอันตราย เพียงแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องยังต้องมีหน้าที่ที่จะต้องติดตามศึกษากันต่อไป


บุหรี่ไฟฟ้าเสพติดหรือไม่?

แน่นอนว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคติน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด ดังนั้นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจึงทำให้ผู้สูบ “ติด” ได้ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา นอกจากนี้รูปแบบและขั้นตอนในการสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็มีความใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ธรรมดามาก ทำให้ผู้สูบยังคงติดในพฤติกรรมการสูบเหมือนบุหรี่ธรรมดา

หากสังเกตในต่างประเทศจะพบว่า โฆษณาของบุหรี่ไฟฟ้ามีลักษณะการใช้ข้อความจูงใจหรือจุดขายไม่ต่างไปจากบุหรี่ธรรมดา เช่น การเพิ่มเสน่ห์ในทางเพศ ทำให้อารมณ์ดี ซึ่งส่งผลในทางจิตวิทยาให้ผู้สูบมีความเชื่อ ฝังใจในคุณสมบัติเหล่านั้นและดำรงพฤติกรรมการสูบมาเรื่อย ๆ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือโฆษณาของบุหรี่ไฟฟ้ายังเน้นถึงข้อดีบางอย่างที่เหนือกว่าบุหรี่ เช่น การมีรสชาติที่หลากหลายกว่า ดีต่อสุขภาพมากกว่า มีรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและหลากหลายกว่า ไม่มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าจุดขายเหล่านี้ย่อมดึงดูดและทำให้ผู้สูบมีแนวโน้มที่จะติดกับการสูบได้มากขึ้นด้วย


ถ้าอยากเลิกบุหรี่ธรรมดา การหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยได้หรือไม่?

จุดขายอย่างหนึ่งของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า คือ การพยายามนำเสนอว่า การหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ธรรมดา ซึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่า  โดยหยิบยกงานวิจัยต่าง ๆ ที่ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่า และทำให้ผู้สูบลดการสูบบุหรี่ธรรมดาลงได้ ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้ภายหลังได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการในวงกว้างแล้วพบว่า เป็นงานวิจัยที่ไม่ได้ทำตามระเบียบวิธีการวิจัยอย่างถูกต้อง มีอคติ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ทำการวิจัยที่ชัดเจน จึงไม่ได้รับการยอมรับในทางวิชาการอีกต่อไป

ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากกว่าที่ทำอย่างถูกต้อง และให้ผลสรุปในทางตรงกันข้าม คือ การสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยลดการสูบบุหรี่ธรรมดาลงเลย ร้ายไปกว่านั้นยังทำให้อัตราการสูบบุหรี่โดยรวมทั้งธรรมดาและไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นไปอีก โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่มีนิโคตินเหมือน ๆ กัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยาวชน การที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่สูบบุหรี่ (ไม่ว่าจะเริ่มจากชนิดไหน) ท้ายที่สุดก็จะมีการแลกเปลี่ยน ทดลองกันภายในกลุ่มจนคุ้นเคยกับทุก ๆ รูปแบบ เพราะเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศห้ามอย่างเป็นทางการมิให้บริษัทบุหรี่โฆษณาว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ธรรมดาได้ เพราะขัดกับข้อมูลจากการวิจัยอย่างชัดเจน 


บุหรี่ไฟฟ้าผิดตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร?

ขณะนี้บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสินค้าต้องห้าม บุคคลที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง ถือว่ามีความความผิดทั้งผู้นำเข้า ผู้ขาย และผู้ใช้ เมื่อเจ้าหน้าที่พบเห็นความผิดซึ่งหน้าสามารถเข้าจับกุมได้  กรณีเป็นผู้นำเข้ามีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของสินค้าที่นำเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีจำหน่ายจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีผู้สูบหรือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ถือว่ามีความผิดในฐานครอบครองสิ่งที่นำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ



ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ , สสส.