public relations

12 ก.ย. 2568

เทคนิคการทำ Digital Detox: ปิดสวิตช์โลกออนไลน์ เปิดพื้นที่ให้หัวใจได้หายใจ


ในยุคที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันด้วยปลายนิ้ว โลกดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่แยกไม่ออก แต่ภายใต้ความสะดวกสบายและความบันเทิงที่ได้รับอย่างไม่จำกัดนั้น หลายคนกำลังเผชิญกับ "ความเหนื่อยล้าทางดิจิทัล" (Digital Fatigue) โดยไม่รู้ตัว ซึ่งนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล และการบั่นทอนสุขภาพจิตในระยะยาว

บทความนี้จะนำเสนอเทคนิค "Digital Detox" หรือการพักจากการใช้สื่อดิจิทัล เพื่อให้คุณได้กลับมาเชื่อมโยงกับตัวเอง โลกแห่งความเป็นจริง และฟื้นฟูสุขภาพจิตให้แข็งแรงอีกครั้ง

Digital Detox คืออะไร? ทำไมต้องทำ?

Digital Detox คือ การตั้งใจลดหรือหยุดการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ชั่วคราว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบเชิงลบจากการเชื่อมต่อตลอดเวลา และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีขึ้น

ทำไมถึงสำคัญต่อสุขภาพจิต?

  • ลดความเครียดและวิตกกังวล: การเสพข่าวสารเชิงลบ (Dooms Scrolling) หรือการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) สูงขึ้น และนำไปสู่ความวิตกกังวลได้

  • เพิ่มคุณภาพการนอนหลับ: แสงสีฟ้าจากหน้าจอส่งผลกระทบต่อการผลิตเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ การลดใช้หน้าจอก่อนนอนจึงช่วยให้หลับได้สนิทขึ้น

  • พัฒนาสมาธิและประสิทธิภาพ: การแจ้งเตือนที่ดังขึ้นตลอดเวลาขัดจังหวะสมาธิและลดประสิทธิภาพในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ

  • เสริมสร้างความสัมพันธ์ในโลกจริง: การหมกมุ่นกับหน้าจอทำให้ละเลยปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การทำ Digital Detox ช่วยให้เรากลับมามีส่วนร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงได้อย่างเต็มที่

  • ค้นพบตัวเองและงานอดิเรกใหม่ๆ: เมื่อมีเวลาว่างจากหน้าจอ เราจะมีโอกาสสำรวจความสนใจส่วนตัว ค้นพบงานอดิเรกที่สร้างสรรค์ และเข้าใจความต้องการของตัวเองมากขึ้น

เทคนิคการทำ Digital Detox ฉบับปฏิบัติได้จริง

การทำ Digital Detox ไม่จำเป็นต้องหักดิบและรู้สึกทรมาน คุณสามารถเริ่มต้นด้วยขั้นตอนง่ายๆ และค่อยๆ ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

1. กำหนดเขตปลอดดิจิทัล (Digital-Free Zones)

เลือกพื้นที่ในบ้านของคุณที่ห้ามใช้อุปกรณ์ดิจิทัลโดยเด็ดขาด เช่น:

  • ห้องนอน: ไม่นำโทรศัพท์ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์เข้าห้องนอน เพื่อให้ห้องนอนเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง

  • โต๊ะอาหาร: ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะรับประทานอาหาร เพื่อให้ทุกคนได้มีช่วงเวลาคุณภาพร่วมกัน

  • ห้องน้ำ: หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ในห้องน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเป็นการพักสายตา

  • โซนทำงาน: ลองกำหนดเวลาพักจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกๆ 1 ชั่วโมง ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหรือมองออกไปนอกหน้าต่าง

2. ตั้งกฎเรื่องเวลา (Time Limits & Schedules)

  • กำหนดเวลาปลอดโทรศัพท์: เช่น ไม่ใช้โทรศัพท์ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน และ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อให้จิตใจได้เตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่และการพักผ่อน

  • ใช้แอปพลิเคชันช่วยจำกัดเวลา: มีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยจำกัดเวลาการใช้งานแอปพลิเคชันบางตัว หรือล็อกหน้าจอเมื่อถึงเวลาที่กำหนด เช่น Forest, OffScreen หรือตัวตั้งค่าในโทรศัพท์มือถือของคุณเอง

  • วันหยุดพักจอ (Screen-Free Day): ลองกำหนด 1 วันในสัปดาห์ เช่น วันอาทิตย์ ให้เป็นวันปลอดจากอุปกรณ์ดิจิทัล เพื่อใช้เวลากับกิจกรรมอื่นๆ อย่างเต็มที่

3. ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น (Turn Off Notifications)

การแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาตลอดเวลาคือตัวขัดสมาธิชั้นดี:

  • ปิดการแจ้งเตือนแอปโซเชียลมีเดีย: เลือกปิดการแจ้งเตือนแบบ Pop-up หรือเสียงเตือนสำหรับแอปพลิเคชันที่ไม่สำคัญ เพื่อลดสิ่งรบกวน

  • ใช้โหมด "ห้ามรบกวน" (Do Not Disturb): เปิดโหมดนี้ในเวลาที่ต้องการสมาธิ หรือในช่วงเวลาพักผ่อน เพื่อป้องกันสายเข้าหรือข้อความที่ไม่จำเป็น

4. ทำความสะอาดดิจิทัล (Digital Declutter)

เหมือนกับการจัดบ้าน การจัดระเบียบพื้นที่ดิจิทัลก็สำคัญ:

  • ลบแอปที่ไม่จำเป็น: ลบแอปพลิเคชันที่คุณไม่ได้ใช้งานหรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อลดสิ่งล่อใจ

  • เลิกติดตามบัญชีที่สร้างพลังงานลบ: ยกเลิกการติดตามบัญชีโซเชียลมีเดียที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี หรือเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

  • จัดเรียงแอปให้เป็นระเบียบ: ซ่อนแอปโซเชียลมีเดียไว้ในโฟลเดอร์ลึกๆ หรือหน้าจอสุดท้าย เพื่อไม่ให้เห็นง่ายจนเผลอกดเข้าไป

5. ค้นหากิจกรรมทดแทน (Find Analog Activities)

เมื่อลดเวลาหน้าจอแล้ว ควรหากิจกรรมอื่นๆ มาเติมเต็ม เพื่อให้ไม่รู้สึกเบื่อหรือขาดอะไรไป:

  • อ่านหนังสือ: กลับไปสู่การอ่านหนังสือเล่ม การอ่านช่วยพัฒนาสมาธิและเสริมสร้างจินตนาการ

  • ออกกำลังกาย: ไปวิ่ง, โยคะ, หรือเดินเล่นในสวนสาธารณะ การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดได้อย่างดีเยี่ยม

  • งานอดิเรกสร้างสรรค์: วาดรูป, เล่นดนตรี, ทำอาหาร, จัดสวน, หรือทำงานฝีมือ

  • ใช้เวลากับธรรมชาติ: "อาบป่า" (Forest Bathing) หรือเพียงแค่เดินเล่นในสวนสาธารณะ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยฟื้นฟูจิตใจ

  • พูดคุยกับคนรอบข้าง: ใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัวและเพื่อนฝูง โดยไม่มีโทรศัพท์มาขัดจังหวะ

6. ท้าทายตัวเองด้วย "Digital Detox Holiday"

หากคุณพร้อมที่จะก้าวไปอีกขั้น ลองวางแผนการเดินทางหรือวันหยุดพักผ่อนที่เน้นการตัดขาดจากโลกดิจิทัล:

  • เลือกจุดหมายปลายทางที่สัญญาณไม่ดี: การไปพักในสถานที่ห่างไกลที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดีนัก เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการบังคับตัวเองให้ตัดขาด

  • ฝากโทรศัพท์ไว้กับเพื่อนหรือที่พัก: หากคุณกล้าพอ ลองฝากโทรศัพท์ไว้กับคนที่ไว้ใจ หรือล็อกเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง และนำออกมาใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉิน

  • พกกล้องฟิล์มหรือกล้องดิจิทัลธรรมดา: ถ่ายภาพด้วยกล้องที่ไม่ใช่โทรศัพท์ เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์การถ่ายภาพอย่างเต็มที่

เริ่มต้นวันนี้ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่าเดิม

การทำ Digital Detox ไม่ใช่เรื่องของการปฏิเสธเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างสมดุลที่ดีระหว่างโลกออนไลน์และโลกแห่งความเป็นจริง มันคือการให้ของขวัญอันล้ำค่าแก่ตัวคุณเอง นั่นคือ "เวลา" และ "พื้นที่" ให้หัวใจได้หายใจ และฟื้นฟูสุขภาพจิตให้กลับมาแข็งแรง

เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่คุณทำได้ และค่อยๆ เพิ่มระดับความท้าทายไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่าเมื่อคุณลดเวลาบนหน้าจอลง คุณจะมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และมีความสุขกับชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น ขอให้สนุกกับการเดินทางสู่การเป็น "คุณคนใหม่" ที่แข็งแรงทั้งกายและใจ!

24 มิ.ย. 2568

รู้จัก...โรคไข้หวัดใหญ่

📋 รู้จัก...โรคไข้หวัดใหญ่ 🦠
🔹 โรคระบาดประจำถิ่นที่มีมานาน พบได้ทุกกลุ่มอายุ แต่จะพบมากในเด็ก 👧 อัตราป่วยตายมักพบในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว 👵🧓🫁
📋 โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus) มี 3 ชนิด คือ Influenza A, B และ C
การติดต่อ:
- ผ่านการหายใจ: รับละอองฝอยจากน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย
- มือสัมผัส: สัมผัสกับละอองฝอยที่มีเชื้อแล้วนำมาสัมผัสที่จมูกหรือตา
คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่:
ปิด 😷: ปิดปาก จมูก เมื่อไอ จาม ทุกครั้ง ด้วยผ้า หรือทิชชู หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย
ล้าง 🧼: ล้างมือก่อนกินอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์
เลี่ยง 🙅‍♀️: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด คลุกคลีกับผู้ป่วย หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด
หยุด 🛌: หยุดเมื่อป่วย หยุดงาน หยุดเรียน แม้มีอาการไม่มาก ควรพักรักษาตัวอยู่บ้าน จนกว่าจะหายดี
ฉีด 💉: ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เพียงพอ
จัดทำ ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2568
ที่มา: สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์, กรมควบคุมโรค
❤️ด้วยความปรารถนาดีจาก สคร.3 นครสวรรค์❤️
❤️ตรวจจับเร็ว ตอบโต้ได้ทัน ป้องกันได้! ✅

__________________________







16 พ.ค. 2568

5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา

5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
ใน 5 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า มีโรคร้ายแรงบางชนิดที่ยังคงคร่าชีวิตผู้คนในระดับสูงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเสื่อมของร่างกายตามอายุ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 อันดับโรคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วงปี 2020–2024 พร้อมแนวทางป้องกันเพื่อให้คุณและคนที่คุณรักห่างไกลจากความเสี่ยง



อันดับที่ 1:
โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases)

สถิติ:

  • คิดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตประมาณ 17.9 ล้านรายต่อปีทั่วโลก

  • เป็นกลุ่มโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดต่อเนื่องหลายปี

สาเหตุหลัก:

  • ความดันโลหิตสูง

  • คอเลสเตอรอลสูง

  • พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เช่น อาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง

  • ขาดการออกกำลังกาย

  • สูบบุหรี่

วิธีป้องกัน:

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี

  • หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ อาหารแปรรูป และโซเดียมสูง

  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

  • งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์

  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะระดับไขมันและความดัน


อันดับที่ 2:
โรคมะเร็ง (Cancer)

สถิติ:

  • คร่าชีวิตกว่า 10 ล้านคนต่อปี

  • มะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่

สาเหตุหลัก:

  • การสัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์

  • พฤติกรรมการกิน เช่น เนื้อแดง อาหารปิ้งย่าง

  • พันธุกรรม

  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV, HBV

วิธีป้องกัน:

  • ตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งตามช่วงอายุ (เช่น มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้ใหญ่)

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

  • รับประทานผักผลไม้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV และไวรัสตับอักเสบบี


อันดับที่ 3:
โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic Respiratory Diseases)

สถิติ:

  • มีผู้เสียชีวิตกว่า 3.5 ล้านรายต่อปี

  • โรคที่พบบ่อย เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

สาเหตุหลัก:

  • การสูบบุหรี่ (สาเหตุหลักของ COPD)

  • มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5

  • การทำงานในสภาพแวดล้อมมีสารเคมี/ฝุ่น

  • พันธุกรรมหรือโรคประจำตัวแต่กำเนิด

วิธีป้องกัน:

  • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง

  • ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นเมื่อต้องออกนอกบ้านในวันที่คุณภาพอากาศแย่

  • รักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อรา

  • ตรวจปอดตามแพทย์นัดหากมีอาการหายใจลำบากเรื้อรัง

  • รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และป้องกันปอดบวมตามคำแนะนำของแพทย์


อันดับที่ 4:
เบาหวาน (Diabetes Mellitus)

สถิติ:

  • เสียชีวิตราว 1.5 ล้านรายต่อปีโดยตรง และอาจเกี่ยวข้องกับอีกหลายล้านรายทางอ้อม

  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ

สาเหตุหลัก:

  • พฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็มมากเกินไป

  • ขาดการออกกำลังกาย

  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

  • พันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้น

วิธีป้องกัน:

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดประจำปี

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชาเย็น ชานม


อันดับที่ 5:
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (เช่น COVID-19, ปอดบวม)

สถิติ:

  • เฉพาะ COVID-19 มีผู้เสียชีวิตกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกตั้งแต่ปี 2020

  • ปอดบวมยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

สาเหตุหลัก:

  • ไวรัส SARS-CoV-2 (COVID-19)

  • แบคทีเรียและไวรัสที่ก่อให้เกิดปอดอักเสบ

  • การติดเชื้อซ้ำซ้อนในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว

วิธีป้องกัน:

  • รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 และไข้หวัดใหญ่ตามคำแนะนำของแพทย์

  • รักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากในที่แออัด

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีอาการไอจาม

  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลภูมิคุ้มกันของร่างกาย

โรคที่คร่าชีวิตมากที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และ สภาพแวดล้อม เป็นสำคัญ การปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับหลักสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารให้สมดุล ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แข็งแรงยั่งยืน


หากคุณเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ อนาคตคุณจะขอบคุณตัวเองในวันที่ยังมีสุขภาพดีอยู่เสมอ



ป่วยโควิด-19 ในปี 2568 ต้องทำอย่างไรบ้าง ? อาการและข้อปฏิบัติต้องรู้

 โควิด-19 ยังคงอยู่กับเราตลอดไปเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ เปิดอาการโควิดล่าสุด และข้อปฏิบัติหากสงสัยว่าป่วย และ มาตรการการกักตัวและการรักษาตัวที่บ้าน ?

โควิด-19 แน่นอนว่า หลายคนรู้จักและคุ้นเคยดี เพราะสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่รุนแรงมากๆได้หายไปพักใหญ่ แต่ล่าสดปี 2568 ด้วยปัจจัยหลังเทศกาลสงกรานต์ และ หน้าฝน ทำให้โควิด 19 กลับระบาดเพิ่มอีกครั้ง ซึ่งข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 มีจำนวนผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ ประมาณ 74,600 รายสียชีวิตเพิ่ม 6 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 22 ราย ซึ่งถึงแม้อาการจะไม่รุนแรง แต่อย่างที่เห็นว่ายังมีผู้ป่วยและเสียชีวิตอยู่ วันนี้ พีพีทีวีออนไลน์ จะอัปเดตข้อมูลและทำอย่างไรหากต้องติดโควิดในยุค 2568 นี้


จากข้อมูลกรมควบคุมโรคพบว่าสถานการณ์ โควิด-19 ในไทยขณะนี้เป็น สายพันธุ์ โอมิครอน XEC ซึ่ง สายพันธุ์ลูกผสมตัวใหม่ในตระกูลโอมิครอน พบครั้งแรกที่เยอรมนี มิ.ย. 2567 เกิดจากการรวมกันของ 2 สายพันธุ์ย่อย: KS.1.1 (FLiRT) และ KP.3.3 (FLuQE) แพร่เร็วขึ้นจากการกลายพันธุ์หลายจุด พบแล้วในอย่างน้อย 15 ประเทศ รวมถึงยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย มีการถอดรหัสพันธุกรรมแล้วกว่า 550 ตัวอย่างจาก 27 ประเทศ

จากข้อมูลในสหรัฐฯ อังกฤษ และจีนXEC แพร่เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84–110%บางประเทศมี XEC มากถึง 10–20% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่

อาการของ XEC

  • ไข้ ไอ เจ็บคอ
  • เหนื่อยง่าย ปวดหัว ปวดตัว
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • สูญเสียการรับกลิ่น/รส
  • เบื่ออาหาร ท้องเสีย อาเจียน

ซึ่งผู้ที่ได้รับวัคซีนครบหรือเคยติดเชื้อมาก่อน มักมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลย แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือภาวะหายใจล้มเหลว 


ข้อปฏิบัติหากสงสัยป่วยโควิด

กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า กรณีเกิดการเจ็บป่วย หรือ สงสัยว่าเป็นโควิด-19 ควรปฏิบัติ

  • หากมีอาการสงสัย หรือ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ให้ตรวจหาเชื้อด้วย ATK ทันที
  • หากผลการตรวจเป็นบวก ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว หากจำเป็นต้องออกจากที่พัก ขอให้เข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
  • กรณีที่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ มีเสมหะ โดยที่อาการไม่รุนแรง แต่ไม่สามารถตรวจ ATK ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ หากจำเป็น จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
  • กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการ
  • งดหรือหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง 608 หากไม่สามารถหลีกเลี่ยง จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

ควรตรวจ ATK เมื่อไร?
หากมีเชื้อโควิดในร่างกายไม่มาก การตรวจโควิดด้วย ATK อาจไม่พบเชื้อ ดังนั้น ถ้ามีอาการไม่สบาย เช่น เจ็บคอมาก มีไข้ต่ำ ๆ ควรหมั่นตรวจ ATK เรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4-5 หลังจากเริ่มมีอาการ หากอาการป่วยรุนแรงขึ้นก็ควรไปพบแพทย์และเข้ากระบวนการรักษาอย่างเหมาะสม

โควิด 2568 กี่วันหาย
จะหายป่วยโควิดเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องจำนวนเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรค


ซึ่งการกักตัวอย่างน้อย 5 วันตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สามารถลดโอกาสแพร่เชื้อได้ หรือถ้าเป็นไปได้ควรกักตัวสัก 7-10 วัน จนกว่าจะไม่มีอาการป่วย และตรวจ ATK แล้วเป็นลบ จึงกลับออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ 

ขณะที่ในบางคนอาจหลงเหลืออาการอยู่เล็กน้อย เช่น หายโควิดแต่ยังไอ นั่นเป็นเพียงการอักเสบของอวัยวะที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นในภายหลัง


วิธีรักษาโควิดที่บ้าน
ข้อมูลจากประกาศของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านเหมือนผู้ป่วยนอกทั่วไป โดยผู้ป่วยควรกักตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 วัน เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังผู้อื่น และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง

สำหรับวิธีรักษาโควิดที่บ้านตามแนวทางปัจจุบันยังคงเป็นการรักษาตามอาการที่ปรากฏ เช่น รับประทานยาพาราเซตามอลเมื่อมีไข้ ใช้ยาแก้ไอเมื่อมีอาการไอ เป็นต้น ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ยกเว้นว่ามีอาการทรุดหนักลง หายใจลำบาก เช่นนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์

การป้องกันโควิดในปัจจุบัน
  • สวมหน้ากาก เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือมีคนหนาแน่น
  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยไม่จำเป็น
  • เว้นระยะห่างทางสังคม ในที่สาธารณะ
  • ตรวจ ATK หากมีอาการเข้าข่าย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ




ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค และ ศูนย์ข้อมูล COVID-19 และ pptvhd36.com

7 พ.ค. 2568

คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก


คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนให้เด็ก

วัคซีนถือเป็นเกราะป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับเด็กในช่วงวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและปฐมวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงดีพอ การฉีดวัคซีนตามกำหนดช่วยลดความรุนแรงของโรคหรือป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม หลังการรับวัคซีน เด็กอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยหรือรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถดูแลได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่บ้าน

บทความนี้จึงรวบรวมคำแนะนำการดูแลเด็กหลังได้รับวัคซีน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเตรียมตัวและดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีและสบายใจมากยิ่งขึ้น




1. เฝ้าสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน

หลังฉีดวัคซีน ควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก โดยเฉพาะภายใน 30 นาทีแรก หลังการฉีด เนื่องจากเป็นช่วงที่อาจเกิดอาการแพ้รุนแรง (anaphylaxis) ได้ ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง

อาการที่ควรสังเกต ได้แก่:

  • ไข้ต่ำถึงปานกลาง

  • ร้องกวนหรือหงุดหงิดผิดปกติ

  • บวม แดง เจ็บบริเวณที่ฉีด

  • ง่วงซึมหรืออ่อนเพลีย

  • เบื่ออาหารหรือไม่ยอมดูดนม

  •  มีไข้สูงเกิน 39°C ที่ไม่ลดลงภายใน 24 ชั่วโมง

  • หายใจลำบาก หรือมีเสียงหายใจแปลก ๆ

  • ผื่นลมพิษขึ้นทั่วตัว

  • อาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง

  • ซึมหรือไม่ตอบสนอง


2. การดูแลทั่วไปหลังการฉีดวัคซีน

การดูแลอย่างเหมาะสมช่วยให้เด็กฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงจากอาการไม่พึงประสงค์

  • ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมากในช่วง 1–2 วันแรก

  • ให้ดื่มน้ำหรือนมบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

  • หากมีไข้ ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น และอาจใช้ยาลดไข้ (เช่น พาราเซตามอล) ตามคำแนะนำของแพทย์

  • หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดแรงบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้เจ็บมากขึ้น

  • ถ้าเด็กยังคงร้องโยเยมากหรือมีไข้ติดต่อกันเกิน 48 ชั่วโมง ควรพากลับไปพบแพทย์


3. การจัดการอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด

อาการบวม แดง หรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดวัคซีนถือเป็นปฏิกิริยาทั่วไปของร่างกายต่อวัคซีน

  • ไม่ควรนวดหรือประคบร้อนบริเวณที่ฉีด

  • หากมีอาการบวมมาก อาจประคบเย็นเบา ๆ บริเวณที่ฉีดวันละ 2–3 ครั้ง ครั้งละ 5–10 นาที

  • ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่หลวม สบาย ไม่รัดแน่นตรงตำแหน่งที่ฉีด


4. การให้ยาแก้ไข้

หากเด็กมีไข้หลังฉีดวัคซีน สามารถให้ยาแก้ไข้ได้ตามน้ำหนักตัวของเด็ก โดยต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ ห้ามใช้ยาลดไข้ในกลุ่มแอสไพรินในเด็กเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายได้

แนวทางการให้ยาพาราเซตามอลในเด็ก:

  • ใช้ยาน้ำเชื่อมหรือยาหยดพาราเซตามอลตามอายุและน้ำหนักตัว

  • ป้อนยาทุก 4–6 ชั่วโมงหากมีไข้

  • ห้ามให้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์


5. การนัดรับวัคซีนครั้งถัดไป

หลังฉีดวัคซีนเสร็จ ผู้ปกครองควร:

  • ตรวจสอบสมุดบันทึกวัคซีน ว่าวัคซีนเข็มต่อไปคือเมื่อใด และต้องฉีดชนิดใด

  • จดบันทึกหรือตั้งเตือนในปฏิทินมือถือ เพื่อไม่ลืมการฉีดวัคซีนครั้งถัดไป

  • ปรึกษาแพทย์ทันทีหากเด็กมีอาการผิดปกติหลังฉีดวัคซีนก่อนนัดหมายครั้งต่อไป


การฉีดวัคซีนเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กและป้องกันโรคร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลบุตรหลานหลังฉีดวัคซีนอย่างถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย และเติบโตอย่างสมวัย

การดูแลเอาใจใส่ด้วยความเข้าใจแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการฉีดวัคซีน จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับทั้งเด็กและครอบครัว พร้อมรับมือกับขั้นตอนต่อ ๆ ไปของการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัย